Health

  • ไวรัสตับอักเสบ อาการและการรักษา
    ไวรัสตับอักเสบ อาการและการรักษา

    ไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แม้จะดูแลสุขภาพได้ดีแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสได้จากการกินอาหารร่วมกัน การสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน และการมีเพศสัมพันธ์ ยังโชคดีที่ในปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคตับอักเสบที่เกิดจากไวรัสบางชนิดได้ และก็เหมือนกับทุกๆ โรคที่ว่า “การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา” ดังนั้นหากมีโอกาสได้ตรวจหาภูมิคุ้มกันแล้วพบว่ายังไม่มีภูมิ การรับวัคซีนก็จะช่วยให้มั่นใจและปลอดภัยจากไวรัสตับอักเสบนี้มากขึ้น

    ไวรัสตับอักเสบ หมายถึง

    ไวรัสตับอักเสบ หมายถึงการอักเสบของตับที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัส โรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C สองชนิดนี้เป็นเชื้อที่พบบ่อยที่ทำให้เกิดการผลกระทบต่อตับ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C เป็นเวลานานกว่า 6 เดือนจะเรียกว่าเป็นโรค “เรื้อรัง” (เรื้อรังหมายถึงการเป็นโรคระยะยาว, ในที่นี้คือมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป) บางคนอาจไม่รู้สึกเจ็บป่วยและอาจรู้สึกปกติธรรมดาแต่อย่างไรก็ตามหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการตรวจสอบหรือไม่ได้รับการรักษาอาจจะเป็นอันตรายต่อตับ เช่น

    • เกิดอาการตับบวม
    • เกิดแผลเป็นที่ตับ
    • อาจพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งในตับ (การมีเนื้องอกเจริญเติบโตในตับ)

    ตับอักเสบ มี 2 ประเภท

    • ภาวะเฉียบพลัน คือ ตับอักเสบที่เกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตามที่การอักเสบหายได้เองในระยะ 6 เดือน
    • ภาวะเรื้อรัง คือ ตับอักเสบจากสาเหตุใดก็ตาม ที่ไม่หายเองภายใน 6 เดือน โดยการตรวจเลือดพบมีร่องรอยของการอักเสบ และมักไม่มีอาการบ่งบอกจนกว่าจะถึงระยะสุดท้ายของโรค หรือตับวาย

    สาเหตุที่ทำใหตับอักเสบ

    อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

    1. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
      • ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักมีการติดต่อหรือแพร่เชื้อผ่านทางการรับประทานอาหาร หรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสซึ่งออกมาจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
      • ไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก
      • ไวรัสตับอักเสบดี มีการติดต่อจากเลือดของผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และเกิดขึ้นกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้น เพราะไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้หากไม่มีไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เป็นชนิดที่รุนแรงแต่พบได้น้อย
    2. การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี อาจเป็นเหตุให้ตับเกิดความเสียหายหรืออักเสบได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดตับแข็ง
    3. การใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด โดยการใช้ยาเกินปริมาณและเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดในปริมาณน้อยก็อาจสร้างความเสียหายต่อตับได้ เช่น ยาพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟ่น ยารักษาวัณโรค รวมถึงยาฮอร์โมน วิตามินบำรุง หรือสมุนไพรต่างๆ
    4. ภาวะไขมันพอกตับ สัมพันธ์กับภาวะต่างๆ ได้แก่ โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง ผู้ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ การรับประทานอาหารพลังงานสูงเป็นประจำ เช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน
    5. สาเหตุอื่นๆ เช่น การติดเชื้อจากโรคไข้เลือดออก ไข้รากสาด ไข้ป่า การอุดกันทางเดินน้ำดี จากภูมิแพ้ตนเอง เป็นต้น

    อาการและการตรวจวินิจฉัยของตับอักเสบ

    สามารถพบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ทราบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ เมื่อมีการอักเสบมากขึ้น จะเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ ภาวะดีซ่าน หรือหากร้ายแรงจนถึงขั้นเรื้อรังจนเซลล์ตับถูกทำลายมากๆ อาจทำให้กลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด

    มักพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ โดยเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วย เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค และอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยตับอักเสบร่วมด้วย ได้แก่

    • การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ ได้แก่ ค่า ALT, AST, ALP ที่ผิดปกติ หรือการตรวจหาเชื้อไวรัส
    • การตรวจตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan) เป็นการตรวจไขมันในตับและการตรวจพังผืดในตับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดและตับแข็งได้โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว ใช้เวลาไม่นาน

    ไวรัสตับอักเสบ

    การรักษาตับอักเสบ

    วิธีการรักษาจะแตกต่างกันตามสาเหตุ และความรุนแรงของตับอักเสบ ดังนี้

    1.  จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
      • ไวรัสตับอักเสบเอ และอี เป็นการติดเชื้อที่ค่อนข้างเฉียบพลันและหายเองได้ในระยะสั้น แพทย์อาจแนะนำให้นอน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
      • ไวรัสตับอักเสบดี พบได้น้อยมาก ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส
      • ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อพบว่าเป็นแบบเฉียบพลันส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง หากเป็นแบบเรื้อรังผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือยาอื่นๆ แพทย์ต้องประเมินการรักษาเป็นประจำ และรักษาอย่างต่อเนื่อง
      • ไวรัสตับอักเสบซี ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสชนิดรับประทานที่ได้ผลดี สามารถรักษาจนหายขาดได้
    2. จากการดื่มแอลกอฮอล์ ควรหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการรักษาด้วยยานั้นจะใช้ในกรณีบรรเทาอาการ เช่น การใช้ยาลดการอักเสบของตับ
    3. จากการใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด รักษาได้ด้วยการหยุดใช้ยาหรือสารที่เป็นต้นเหตุ และรักษาตามอาการป่วยอื่นๆ ที่เกิดขึ้น
    4. จากภาวะไขมันพอกตับ หากพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหลีกเลี่ยงหรืองดความเสี่ยงๆ หรือปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ

    การดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับอักเสบ

    1. ควรรับประทานอาหารเหมาะสม เป็นอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาดและครบทุกหมู่
    2. หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพร ยาลูกกลอนและอาหารเสริมจำนวนมาก
    3. ผู้ป่วยตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรง
    4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ทุกชนิด
    5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอผู้ป่วยตับอักเสบควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมเหมาะกับวัย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ
    6. ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา
    7. ควรตรวจเลือดทุก 3-6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

    การป้องกันตับอักเสบ

    1. หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
      • การเจาะ สักผิวหนัง
      • การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
      • การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
      • การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
      • บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
      • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก และป้องกันความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์
    2. หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสหรือไม่ เพื่อป้องกันทารกการติดเชื้อ
    3. การฉีดวัคซีน โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จะมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ม (0,1,6 เดือน) สามารถสร้างภูมิต้านทานได้มากกว่าร้อยละ 95 ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต รวมทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอด้วยเช่นกัน

    การแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C

    เชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ B แพร่กระจายอย่างไร

    • จากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอดบุตร
    • ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน
    • โดยวิธีทางการแพทย์หรือทันตกรรมที่ไม่มีการฆ่าเชื้อ
    • โคยการใช้อุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน
    • โดยการรับเลือดที่ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดด้วยวิธีอื่นๆ รวมถึงการสักที่ไม่ได้รับการป้องกันฆ่าเชื้ออย่างถูกสุขลักษณะ

    เชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ C แพร่กระจายอย่างไร

    • จากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอดบุตร
    • ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน โดยเฉพาะถ้ามีเลือดอยู่
    • โดยวิธีทางการแพทย์หรือทันตกรรมที่ไม่มีการฆ่าเชื้อ
    • โดยการใช้อุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน
    • โดยการรับเลือดที่ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดด้วยวิธีอื่นๆ รวมถึงการสักที่ไม่ได้รับการป้องกันฆ่าเชื้ออย่างถูกสุขลักษณะ

    เชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ไม่สามารถแพร่กระจายได้โดย 

    • การแบ่งปันอาหารเครื่องดื่มหรือการใช้แก้วจานชามช้อน ส้อม หรือมีดร่วมกัน
    • การสัมผัสกอดหรือจูบ
    • การจับมือกัน
    • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

     

    เนื่องจากตับอักเสบ สามารถเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งที่แบบมีอาการและไม่มีอาการ ฉะนั้นการตรวจคัดกรองตับควรทำในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หรือบุคคลทั่วไปควรตรวจเช็กสุขภาพประจำปี ซึ่งจะช่วยให้เราทราบแต่เนิ่นๆ รวมทั้งหาสาเหตุต่างๆ เพื่อหาแนวทางการรักษา ป้องกันไวรัสตับอักเสบไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ ตามมาได้

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

     

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  syoujyuen.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • ศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง คดีล้มประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม
    ศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง คดีล้มประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

    ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษา คดีบีทีเอสซีฟ้องล้มการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชี้ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ การยกเลิกเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ระหว่างรัฐและเอกชน

    ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นและพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องในคดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2

    กรณีมีมติการประชุม เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 3 ก.ค. 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว

    ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการยกเลิกประกาศเชิญชวนและการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนมิได้เป็นไปโดยอำเภอใจ และการยกเลิกเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ระหว่างรัฐและเอกชน ตาม ม.6 พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งถือเป็นการกระทำโดยสุจริตไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย

    ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาเพิกถอนมติของคณะกรรมการฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ รวมถึงเพิกถอนประกาศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เรื่อง ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าวของวัน 3 ก.พ. 2563 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีมติ นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

    ที่มา workpointtoday

    ติดตามอ่าานข่าวเศรษฐกิจได้ที่ syoujyuen.com